ผู้สมัครงาน
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเลขาธิการที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (อังค์ถัด) ระบุว่า ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการใน 4 ประเด็น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.การพัฒนาคน โดยเพิ่มทักษะด้านวิชาชีพ เพราะแรงงานยังมีมาตรฐานต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ที่ยังด้อยกว่ามาก ทำให้คนไทยไม่พัฒนาเท่าที่ควร รวมถึงต้องยกระดับนักศึกษาอาชีวะให้สูงขึ้น เพื่อดึงดูดให้มีคนเข้ามาเรียนมากๆ โดยต้องยกระดับศักดิ์ศรี รายได้
2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ในด้านภูมิศาสตร์เหมือนอย่างปัจจุบัน เช่น การเปิดด่านตามแนวชายแดน อาจเปิดตลอด 20 ชั่วโมง หรือมีเวลาเปิดด่านให้ยายนานขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจตามแนวชายแดนเติบโตได้มากขึ้น
3.การพัฒนาสถาบันด้านกฎหมาย ที่จะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาลมากขึ้น และ 4.ต้องผลักดันให้อาเซียนสามารถเจรจาจัดทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ระหว่างอาเซียน และคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศ (อาร์เซพ) ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะจะทำให้เศรษฐกิจอาเซียน และอีก 6 ประเทศขยายตัวได้มากขึ้น และเร็วขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ แนวทางที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะการเน้นการลงทุนของภาครัฐ ในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะจะกระตุ้นให้การลงทุน และความเชื่อมั่นของเอกชนมีมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะขยายตัวไม่มากนัก และไม่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้มาก รวมถึงการผลักดันให้เกิดการค้าชายแดนมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ เช่นกัน
"เศรษฐกิจไทยปีนี้ คงหวังจะได้เห็นการขยายตัวมากอย่างที่คิดไว้ยาก เพราะการลงทุนของภาครัฐเพิ่งจะเกิดการลงทุนในไตรมาส 3 ซึ่งล่าช้ามาก ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังทรงตัว การส่งออกคงขยายตัวไม่มากนัก แม้กระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ เพราะตลาดไม่เอื้ออำนวย มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้จากการลงทุนภาครัฐเป็นตัวนำ และการค้าขายของไทยกับอาเซียน รวมถึงประเทศที่มีศักยภาพ อย่างจีน และอินเดีย คาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะบวก แต่บวกเท่าไร คาดไม่ได้ ส่วนปีหน้า น่าจะเป็นบวกได้แน่ 5% อาจจะได้เห็นหรืออาจจะมากกว่า 5% ด้วยซ้ำ"
นายศุภชัย กล่าวต่อถึงเศรษฐกิจของยุโรปว่า ขณะนี้ มีหลายคนมองว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจเกิดการถดถอยลงเป็นครั้งที่ 3 เพราะเศรษฐกิจประเทศหลักๆ เช่น เยอรมนี ยังไม่ฟื้นตัวดี ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมของยุโรปอาจจะขยายตัวได้เพียง 0% เท่านั้น จากคาดการณ์ 1% ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปลงทุน หรือไปร่วมทุนกับธุรกิจในยุโรป อย่างในธุรกิจเหล็ก พลังงาน หรือการเงิน
สำหรับค้าโลกในปัจจุบัน ตนเห็นว่า ยากมากขึ้น เพราะกฎระเบียบและข้อจำกัดทางการค้า และการลงทุน มีมากขึ้น ทำให้การค้า และการลงทุนแคบลงมาก ซึ่งจากข้อมูลที่ทำการสำรวจร่วมกันระหว่างอังค์ถัด, ดับบลิวทีโอ และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) พบว่า กฎข้อบังคับการค้า การลงทุนที่ประเทศต่างๆ นำออกมาใช้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 50 พบมาตรการจำกัดการลงทุนและการค้า มีเพียง 3% เท่านั้น ดังนั้น ดับบลิวทีโอ ต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบกฎ และระเบียบต่างๆ ที่หลายประเทศนำออกมาใช้กีดกัน
"ดับบลิวทีโอ จำเป็นต้องมีเข้าไปกำกับตลาดมากขึ้น ดูแลกฎระเบียบมากขึ้น ถ้าการเจรจารอบโดฮาร์ ที่ยาวนานกว่า 10 ปีจบลงได้ รอบหน้า หากมีการเปิดการเจรจา ดับบลิวทีโอ จำเป็นต้องเจรจาประเด็นต่างๆ ในสิงคโปร์ อิชชู เช่น ความโปร่งใสในการจัดซื้อของรัฐ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งผมดีใจมากที่ได้ยินปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประกาศให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเขตปลอดคอร์รัปชัน นอกจากนี้ ยังต้องพูดถึงนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจเป็นสีเขียว ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเสมอภาค ไม่ใช่โตแต่พวกเรา คนอื่นไม่โต หรือโตเป็นรายอุตสาหกรรม หรือโตแต่เฉพาะในเมืองเท่านั้น.
ขอขอบคุณข่าว และภาพข่าว : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved